ฝ้าคืออะไร?

 ฝ้าคืออะไร?( "Melasma")คือเม็ดสีเมลานินที่ทำงานผิดปกติในเซลล์ใต้ชั้นผิวหนัง โดยสาเหตุที่ทำให้เซลล์เม็ดสีทำงานผิดปกตินั้น ส่วนใหญ่มาจาก การที่ได้รับรังสี เป็นเวลานานๆ เม็ดสีเมลานินมีหน้าที่กรองรังสี UVเมื่อผิวได้รับแสงแดดมากๆเมื่อผิวได้รับแสงแดดมากเมลานินก็จะถูกผลิตออกมามากขึ้นตามไปด้วย จึงเกิดเป็น "ฝ้า" ซึ่งมีลักษณะเป็นสีดำอมน้ำตาล หรือเข้มกว่าสีผิว จะขึ้นเป็นแถบหรือปื้นบริเวณใบหน้า ที่หน้าผาก จมูก เหนือคิ้ว เหนือริมฝีปาก และโดยเฉพาะบริเวณโหนกแก้ม สำหรับปัญหาเรื่องฝ้าจะเกิดกับผู้หญิงวัยกลางคนอายุประมาณ 30-40 ปี ผู้หญิงเป็นฝ้ามากกว่าผู้ชายหลายเท่า



หัวไชเท้ากับฝ้า

หัวไชเท้ากับฝ้า

 หัวไชเท้าสดเป็นสมุนไพรที่นิยมใช้ในการรักษาฝ้ากันอย่างแพร่หลาย 

แต่ควรระวังผิวหน้าก่อนที่จะใช้หัวไชเท้าไม่ควรขัดผิว เพราะหัวไชเท้าจะทำให้แสบและระคายเคืองมาก วิธีใช้คือ นำหัวไชเท้ามาฝานบางๆ แล้วนำมาวางไว้บริเวณที่เป็นฝ้า หรือจะบดให้ละเอียดก่อนก็ได้จากนั้นผสมกับน้ำมะนาวเล็กน้อย แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 10-20 นาทีก่อนจะล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำเย็นแล้วตามด้วยครีมบำรุง ควรทำก่อนนอนเลี่ยงแสงแดด สูตรนี้ควรทำวันเว้นวันรับรองว่าจะทำให้ฝ้าจางลงอย่างเห็นได้ชัด  



                                                                                                                                                                                                                                                                                                  








































































































































































































































สมุนไพรสร้างภูมิคุ้มกันต้านโรค


สมุนไพรสร้างภูมิคุ้มกันต้านโรคได้ดีหนึ่งในนั้นก็คือใบบัวบก

 ใบบัวบก มีฤทธิ์ลดไข้ ใบบัวบกมีฤทธิ์เย็น  แก้อาการเจ็บคอได้ด้วย มีการศึกษพบว่าใบบัวบกมีฤทธิ์ลดการอักเสบในช่องปาก ลดการบวม และลดการอักเสบที่ผิวหนังได้ด้วย

ใบบัวบก มีสาร asiaticoside ที่ช่วยสมานแผลผิวหนังเมื่อสกัดผสมในรูปเจล ในอนาคตเราอาจจะเห็นการใช้สารสกัดใบบัวบกอยู่ในผลิตภัณฑ์ต่างๆอีกมากมาย


 สำนักข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข 

เรื่องของหัวไชเท้ากับฝ้าบนใบหน้า


 

การนำหัวไชเท้าสดๆมารักษาฝ้า

 หัวไชเท้า สามารถลดอาการฝ้าบนใบหน้า ต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการอักเสบของสิวทำให้สิวแห้งไว ช่วยลดรอยด่างดำและผิวหมองคล้ำจากแสงแดดจึงทำให้หน้าใสกระจ่างขึ้น 

นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติผลัดเซลล์ผิว พร้อมช่วยทำความสะอาดรูขุมขน ลดปัญหาการเกิดสิวได้ด้วย

วิธีทำ และ วัตถุดิบต่างๆมีดังนี้  น้ำหัวไชเท้า 1 ช้อนชา แตงกวาปั่น 1 ลูก นมสด 1 ช้อนโต๊ะ

นำน้ำหัวไชเท้าแช่ให้เย็นจัดเพื่อลดฤทธิ์ร้อน จากนั้นนำส่วผสมทั้งหมดมาผสมกัน ใช้สำลีชุบน้ำมาเช็ดหน้า พอกทิ้งไว้ 5 นาที 

จากนั้นล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำเย็น ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ฝ้าจะค่อยๆจางหายไปจ้า



 หางจระเข้มีประโยชน์อย่างไรบ้าง?


สรรพคุณของว่านหางจระเข้

ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน ด้วยการรับประทานเนื้อวุ้น หรือจะทำเป็นน้ำปั่นว่านหางจระเข้มาดื่มก็ได้ ก็จะช่วยบรรเทาอาการและป้องกันโรคเบาหวานได้

ว่านหางจระเข้มีสรรพคุณช่วยแก้อาการปวดศีรษะ ด้วยการตัดใบสดของว่านหางจระเข้แล้วทาปูนแดงด้านหนึ่ง แล้วเอาด้านที่ทาปูนปิดตรงขมับ จะช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้ (ใบ)

วุ้นว่านหางจระเข้มีสรรพคุณช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ช่วยป้องกันและลดการเกิดแผลในกระเพาะขณะท้องว่าง ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารต่าง ๆ

เนื้อว่านหางจระเข้สรรพคุณว่านหางจระเข้ช่วยแก้กระเพาะลำไส้อักเสบ ด้วยการใช้ใบนำมาปอกเปลือกเอาแต่วุ้น นำมารับประทานวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ (เนื้อวุ้น)

ใช้เป็นถ่าย ยาระบาย ที่เปลือกของว่านหางจระเข้จะมีน้ำยางสีเหลือง ในน้ำยางจะมีสารแอนทราควิโนน (Anthraquinone) ที่มีฤทธิ์เป็นยาระบาย หากนำน้ำยางไปเคี่ยวให้น้ำระเหยออกแล้วทิ้งไว้ให้เย็น ก็จะได้สารสีน้ำตาลเกือบดำ หรือเรียกว่า "ยาดำ" ซึ่งยาดำนี้เองใช้เป็นส่วนผสมในตำรับยาแผนโบราณที่ต้องการให้มีฤทธิ์เป็นยาระบายอยู่หลายตำรับ (ยางในใบ)

ช่วยรักษาอาการท้องผูก ด้วยการกรีดเอายางจากว่านหางจระเข้มาเคี่ยวให้งวด ทิ้งไว้ให้เย็นจะได้ก้อนยาสีดำ (ยาดำ) แล้วตักมาใช้ประมาณช้อนชา เติมน้ำเดือด 1 ถ้วย แล้วคนจนละลาย โดยผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 2 ช้อนชาก่อนนอน แต่ถ้าเป็นเด็กให้รับประทานครั้งละ 1 ช้อนชาก่อนนอน

ช่วยรักษาริดสีดวงทวาร ด้วยการใช้เนื้อวุ้นจากใบเหลาให้เป็นปลายแหลมเล็กน้อย และนำไปแช่ตู้เย็นหรือน้ำแข็งจนเนื้อแข็ง แล้วนำไปใช้เหน็บในช่องทวารหนัก ควรหมั่นทำเป็นประจำวันละ 1-2 ครั้งจนกว่าจะหาย (เนื้อวุ่น)

ช่วยแก้หนองใน (ราก, เหง้า)

ช่วยแก้มุตกิดหรือระดูขาวของสตรี (ราก, เหง้า)

ทั้งต้นของว่านหางจระเข้มีรสเย็น ใช้ดองกับสุรานำมาดื่มช่วยขับน้ำคาวปลาได้ (ทั้งต้น)

CR:ข้อมูลสมุนไพร มหาวิทยาลัยมหิดล

https://winkangle.blogspot.com/

  สมุนไพรต้านไวรัส

 สถานการณ์ตอนนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักเชื้อไวรัสโคโรน่า เป็นโรคที่ส่งผลให้เกิดระบบทางเดินหายใจที่ มีการ   แพร่ระบาดอย่างรวดเร็วไปทั่วโลก

   วิธีการแพร่เชื้อ คือการสูดดมละอองในอากาศที่มีเชื้อไวรัสปะปนอยู่

  ความรุณแรงโรคนี้ จะขึ้นอยู่กับว่าจำนวนเชื้อไวรัสที่ได้รับเข้าไปในเซลล์ร่างกายนั้นมีมากเท่าไหร่ และความลึกที่เชื้อเข้าไปในปอด และหากในสภาพของสิ่งแวดล้อมที่มีอากาศที่มีละอองฝอยขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน หรือ PM 2.5 การที่เชื้อไวรัสเข้าไปจับก็จะยิ่งเข้าสู่ปอดได้ลึกขึ้น การที่ได้รับเชื้อหากเข้าไปเยอะก็ยิ่งทำให้ปอดอักเสบมากและทำให้การทำงานในการแลกเปลี่ยนออกซิเจนทำได้น้อย ผลตามมาคือภาวะการทำงานของปอด การหายใจที่ผิดปกติจนถึงขั้นรุณแรงที่ทำให้เสียชีวิต ระบบหนึ่งของร่างกายที่มีความสำคัญมากๆคือระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย หากได้รับเชื้อไวรัสเข้าไปมากๆและภูมิต้านทานของร่างกายไม่ดีโดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้ที่มีปัญหาของโรคปอดอยู่แล้ว ก็จะยิ่งทำให้เสี่ยงอันตรายต่อการเกิดภาวะการหายใจล้มเหลวฉับพลัน หากในคนที่ที่มีระบบภูมิต้านทานโรคที่ดีร่ายกายก็จะสามารถปกป้องร่างกายและทำลายเชื้อได้และสามารถฟื้นตัวได้จากภูมิต้านทานของตัวเองที่สร้างขึ้นมา การป้องกันหรือลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค อย่างที่กระทรวงสาธารณสุขได้ให้คำแนะนำคือ การสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันและลดจำนวนเชื้อที่จะเข้าสู่ปอด การล้างมือเป็นประจำ และพยายามทำร่างกายให้แข็งแรง ผู้ที่แข็งแรง นั่นหมายถึงผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ มีการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ อีกปัจจัยที่สำคัญที่จะส่งผลทำให้มีร่างกายที่แข็งแรงก็คือการมีโภชนาการที่ดี รับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่คือ ข้าวแป้ง เนื้อสัตว์ ไขมันและน้ำมัน ผักและผลไม้ นอกจากนี้อาหารบางกลุ่มยังมีคุณสมบัติในการต้านเชื้อไวรัสได้  

              ขมิ้นชัน  มีสารสำคัญคือ น้ำมันหอมระเหยและสารเคอร์คิวมินอยด์ เป็นสารสีเหลืองส้ม รวมทั้งมีสารพฤกษเคมีกลุ่มโพลีฟีนอล

คุณสมบัติของขมิ้นตามงานวิจัยคือ ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์การต้านการอักเสบ ฤทธิ์การต้านมะเร็ง และฤทธิ์การต้านจุลินทรีย์ก่อโรคทั้งเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรรัส ในสมัยก่อนคนไทยจะใช้ขมิ้นในการฆ่าเชื้อโรคแทนการใช้แอลกอฮอล์ หรือใช้แปะแผลเพื่อฆ่าเชื้อ ในอินเดียจะดื่มน้ำขมิ้นเพื่อแก้หวัด แก้ไอ รักษาโรคข้ออักเสบปวดบวม อาหารที่มีขมิ้นเป็นส่วนประกอบได้แก่ แกงเหลือง แกงกะหรี่ แกงไตปลา ปลาทอดขมิ้น หมูหมักขมิ้น ข้าวผัดขมิ้น ไก่หรือเนื้อสัตว์อื่นๆย่างขมิ้น ข้าวเหนียวหน้ากุ้งใส่ขมิ้น ขนมโคขมิ้นสด สมู้ทตี้ผสมขมิ้น นอกจากนี้ยังมีเมนูที่สามารถเพิ่มเติมเอาขมิ้นชันไว้ทำเองที่บ้านได้ เช่นใส่ผสมกับน้ำสลัด ใส่ผสมกับน้ำจิ้มต่างๆ หุงข้าวใส่ขมิ้นลงไป เครื่องดื่มขมิ้น

ที่มา:  บทความเรื่อง ของดีของไทยต้านเชื้อไวรัส โดย ผศ.ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล


ล้างมือบ่อยช่วยป้องกันเชื้อโรคได้

 


การล้างมือบ่อยๆ ครั้งละ 20-30วินาทีหลังจากจาม ไอ หรือ ทำธุระในห้องน้ำ

 คือวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ทั้งกับตัวคุณเองและคนรอบข้าง

อย่าลืมล้างมือบ่อยๆนะคะ